วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
Technology criticism and data literacy: The case for an augmented understanding of media literacy
Technology criticism and data literacy: The case for an augmented understanding of media literacy
https://drive.google.com/file/d/1cMUjeNT_2EEyzZ1QQNtW2CIp-Cu0F3pL/view?usp=sharing
ABSTRACT
Reviewing the history of media literacy education might help us to identify how creating media as an approach can contribute to fostering knowledge, understanding technical issues, and to establishing a critical attitude towards technology and data. In a society where digital devices and services are omnipresent and decisions are increasingly based on data, critical analysis must penetrate beyond the “outer shell” of machines – their interfaces – through the technology itself, and the data, and algorithms, which make these devices and services function. Because technology and data constitute the basis of all communication and collaboration, media literate individuals must in the future also have a sound understanding of technology and data literacy. This article examines the relevance of this broader definition of literacy and delivers a forward-looking defense of media literacy education in schools. It also posits the thesis that the digital transformation represents a challenge, which is confronting society, politics, and education alike.
การทบทวนประวัติของการศึกษาด้านการรู้หนังสือสื่ออาจช่วยให้เราสามารถระบุได้ว่าการสร้างสื่อเป็นแนวทางสามารถนําไปสู่การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในประเด็นทางเทคนิคและการสร้างทัศนคติที่สําคัญต่อเทคโนโลยีและข้อมูลได้อย่างไร
ในสังคมที่อุปกรณ์และบริการดิจิทัลมีอยู่ทุกหนทุกแห่งและการตัดสินใจขึ้นอยู่กับข้อมูลมากขึ้นการวิเคราะห์ที่สําคัญจะต้องเจาะเกิน
"เปลือกนอก" ของเครื่องจักร - อินเทอร์เฟซของพวกเขา -
ผ่านเทคโนโลยีและข้อมูลและอัลกอริทึมซึ่งทําให้อุปกรณ์และบริการเหล่านี้ทํางานได้
เนื่องจากเทคโนโลยีและข้อมูลเป็นพื้นฐานของการสื่อสารและการทํางานร่วมกันทั้งหมดบุคคลที่มีความรู้ด้านสื่อจึงต้องมีความเข้าใจในเทคโนโลยีและการรู้ข้อมูล
บทความนี้ตรวจสอบความเกี่ยวข้องของคําจํากัดความที่กว้างขึ้นของการรู้หนังสือนี้และให้การป้องกันที่คาดการณ์ล่วงหน้าของการศึกษาการรู้หนังสือสื่อในโรงเรียน
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดวิทยานิพนธ์ว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลแสดงถึงความท้าทายซึ่งกําลังเผชิญหน้ากับสังคมการเมืองและการศึกษาเหมือนกัน
เอกสารอ้างอิง
KNAUS,
T. Technology criticism and data
literacy: The case for an augmented
understanding of media literacy.
Journal of
Media Literacy Education,
v. 12, n. 3, p. 6–16, 14 dez.
2020.
ONLINE PROFESSIONAL LEARNING COMMUNITIES FOR DEVELOPING TEACHERS’ DIGITAL COMPETENCES
ONLINE PROFESSIONAL LEARNING COMMUNITIES FOR DEVELOPING TEACHERS’ DIGITAL COMPETENCES Online Professional
ABSTRACT
Digital transformation shapes the educational system in many ways. It has also far-reaching implications for teachers as their job description may fundamentally change in the future. In this light, it is important 1) to identify necessary digital competences of teachers and 2) to find ways to foster those competences in an efficient way. By means of a literature review and expert interviews, we developed a framework of teachers’ digital competences. In line with Baumert and Kunter (2006) as well as Koehler and Mishra (2009), it comprises content knowledge, pedagogical content knowledge, and pedagogical knowledge. However, these facets have extended meaning in the context of digital transformation. Moreover, our framework considers the official EU competence framework (Carretero et al., 2017) and hence covers instrumental skills and knowledge in handling digital media. We successfully validated our framework by means of structural equation modelling with a sample of 215 Swiss teachers. Utilising an Importance Performance Map Analysis, we identified competence facets that show the highest effects on the (self-reported) use of digital media and content. For efficiently fostering those facets, we will establish online professional learning communities consisting of a communication platform, webinar series, and blended learning courses.
การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลทําให้ระบบการศึกษามีรูปแบบต่างๆ ได้หลายวิธี นอกจากนี้ยังมีผลกระทบที่กว้างไกลสําหรับครูเป็น รายละเอียดงานของพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในอนาคต ในแง่นี้เป็นสิ่งสําคัญ 1) เพื่อระบุดิจิตอลที่จําเป็นความสามารถของครูและ 2) เพื่อหาวิธีส่งเสริมความสามารถเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการของวรรณกรรมเราพัฒนากรอบความสามารถทางดิจิทัลของครู สอดคล้องกับ Baumert และ Kunter (2006) เช่นเดียวกับ Koehler และ Mishra (2009) ประกอบด้วยความรู้ด้านเนื้อหาความรู้เนื้อหาการสอน และความรู้การสอน อย่างไรก็ตามแง่มุมเหล่านี้ได้ขยายความหมายในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล นอกจากนี้กรอบของเรายังพิจารณากรอบความสามารถอย่างเป็นทางการของสหภาพยุโรป (Carretero et al., 2017) และด้วยเหตุนี้จึงครอบคลุมทักษะและความรู้ด้านเครื่องมือในการจัดการสื่อดิจิทัล เราประสบความสําเร็จในการตรวจสอบกรอบการทํางานของเราโดยใช้ การสร้างแบบจําลองสมการโครงสร้างด้วยตัวอย่างของครูชาวสวิส 215 คน การใช้การวิเคราะห์แผนที่ประสิทธิภาพความสําคัญเราระบุแง่มุมความสามารถที่แสดงผลกระทบสูงสุดต่อการใช้สื่อดิจิทัลและเนื้อหา (รายงานด้วยตนเอง) เพื่อ ส่งเสริมแง่มุมเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพเราจะสร้างชุมชนการเรียนรู้ระดับมืออาชีพออนไลน์ซึ่งประกอบด้วยแพลตฟอร์มการสื่อสารชุดการสัมมนาผ่านเว็บและหลักสูตรการเรียนรู้แบบผสมผสาน
รายการอ้างอิง
(Seufert, Guggemos, and Tarantini 2018)
วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
Transforming IT small business - the perspective of business advice process
Paweł Głodeka , Katarzyna Łobaczb. Transforming IT small business - the perspective of business advice process.Procedia Computer Science 192 (2021) 4367–4375
Abstract
Strategic business advice is perceived as the way to meet challenges related to business development and strategic change, with direct impact on business growth and productivity. Small IT companies face particular pressures resulting from rapid changes in technology and market environment. In many cases they need transformation in order to grow or to cope with evolving competition. They often need to transform their strategic business approaches, including implementation of new products and increasing business models efficiency. The article analyses the process of strategic change of the management model in a small IT company with the participation of a business advisor. The process based consulting model was used to demonstrate how the strategic change is implemented in organization, while the perspective of business owner is used. It is concluded that strategic business advice is a powerful
คําแนะนําทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์เชิงนามธรรมถูกมองว่าเป็นวิธีการที่จะตอบสนองความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์โดยมีผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของธุรกิจและผลผลิต
บริษัท ไอทีขนาดเล็กต้องเผชิญกับแรงกดดันเฉพาะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมของตลาด
ในหลายกรณีพวกเขาต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อเติบโตหรือรับมือกับการแข่งขันที่พัฒนาขึ้น
พวกเขามักจะต้องเปลี่ยนแนวทางการดําเนินธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของพวกเขารวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่และเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบธุรกิจ
บทความวิเคราะห์กระบวนการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของรูปแบบการจัดการใน บริษัท
ไอทีขนาดเล็กโดยการมีส่วนร่วมของที่ปรึกษาทางธุรกิจ
แบบจําลองการให้คําปรึกษาตามกระบวนการถูกใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ถูกนํามาใช้ในองค์กรอย่างไรในขณะที่ใช้มุมมองของเจ้าของธุรกิจ
สรุปได้ว่าคําแนะนําทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์นั้นมีประสิทธิภาพ
วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
เอกสารอ้างอิง
ภานุวัฒน์ สิงห์หาญ และ ดร.วัลลภา อารีรัตน์(2557).สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อ สนับสนุนการบริหารจัดการและการบริการด้านการศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำ นักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1.วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.ปีที่ 37 ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2557,หน้า158-166.
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการและการบริการด้านการศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษา ขอนแก่น เขต 1 และ 2) ศึกษาข้อเสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการและการบริการด้านการศึกษา การวิจัยมีสอง ระยะคือ ระยะแรกเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารและครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การ ศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 ในปีการศึกษา 2556 จำนวน 333 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม ลักษณะ เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะ ที่สองเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสนทนากลุ่ม โดยกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุติ จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้คือคู่มือประกอบการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการ บริหารจัดการและการบริการด้านการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 พบว่าในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ด้าน ICT มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านการสร้างสังคม เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2. แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ด้าน ICT พบว่า ผู้บริหาร สถานศึกษาควรระดมทรัพยากรเพื่อจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ออนไลน์และ พัฒนาศักยภาพของครูด้านการใช้ICT และเขต พื้นที่การศึกษาควร สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงและจัดหา Software Open Source เพื่อให้ครูได้ใช้ประโยชน่วมกัน ด้านการสร้างสังคมเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรดำเนินการในเรื่อง 1) การกระตุ้นกลุ่มเครือข่ายการเรียนรู้ออนไลน์ให้เข้าไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้และ ส่งข่าวสารที่เป็นประโยชน์ 2)ให้ความ รู้แก่บุคลากรเกี่ยวกับจรรยาบรรณนักวิชาการในการสืบค้นและอ้างอิงข้อมูล และ 3) ส่งเสริมการสร้างและใช้ประโยชน์ เว็บไซต์การจัดการความรู้ออนไลน์ (KM) ในโรงเรียน ด้านการบริหารจัดการเรื่องลิขสิทธิ์และการพัฒนาระบบ ICT พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้ความรู้แก่ครูและนักเรียน เกี่ยวกับ พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ ร่วมมือกับหน่วยงานให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ ICT ให้กับทางโรงเรียน ด้านการประยุกต์ ใช้ระบบ ICT เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหาร พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรประชาสัมพันธ์ชี้แจงให้บุคลากรทราบ ถึงประโยชน์ของการนำICTมาในการบริหารงาน และเขตพื้นที่การศึกษาและผู้บริหารสถานศึกษาควรกำหนดใช้ความ สามารถด้านICTเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลงานบุคลากร และด้านการพัฒนาฐานข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา อย่างบูรณาการ พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาสารสนเทศในการบริหารจัดการ และ เขตพื้นที่การศึกษาควรประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกเพื่อเป็นพี่เลี้ยงด้านการใช้ ICT คำสำคัญ : สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร,สนับสนุนการบริหารจัดการ และการบริการด้านการศึกษา
การบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษา
เอกสารอ้างอิง
วิชญ์ภาส สว่างใจ และพูนสิน ประคำมินทร(2558).การบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษา
ในเขตออำเภอปลาปาก
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1.วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม. ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2558,หน้า 128-136.
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษา ในเขตอำเภอปลาปากสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 และ 2) เปรียบเทียบการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษา ในเขตอำเภอปลาปากสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 จำแนกตามสถานภาพ และขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 331 คน ประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 58 คนและครูผู้สอน จำนวน 273 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบ แบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.35-0.92 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการวิเคราะห์ ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก พบว่า อยู่ใน ระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านบุคลากร ด้านที่มีค่าเฉลี่ยตำ่ที่สุด คือ ด้านวัสดุอุปกรณ์ 2) จำแนกตามสถานภาพ พบว่า โดยรวมและด้านบุคลากร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนจำแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่า โดยรวม และรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คำสำคัญ : การบริหารทรัพยากรทางการศึกษา / อำเภอปลาปาก / เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1
การพัฒนาแผนกลยุทธ์ คุณภาพการศึกษา
เอกสารอ้างอิง
สมชัย วงษ์นายะ และทวนทอง เชาวกีรติพงศ์(2559).การพัฒนาแผนกลยุทธ์และคุณภาพการศึกษาสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร.วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์.ปีที่22 ฉบับที่1 มกราคม-เมษายน 2559, หน้า 41-56.
วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
การพัฒนาตัวบ่งชี้ผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา
เอกสารอ้างอิง
ฐิตินันท์ นันทะศรี และคณะ(2562) การพัฒนาผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.วารสารวิชาการและวิจัยสังคมศาสตร์.ปีที่14
ฉบับที่3 กันยายน-ธันวาคม 2562 หน้า93-106.
บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาตัวบ่งช้ีภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ตรวจสอบความสอดคลอ้งของโมเดลโครงสร้างตวับ่งช้ีภาวะผนู้ า เชิงนวตักรรมของผบู้ริหารสถานศึกษาที่พฒั นาข้ึนกบั ข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3) สร้างคู่มือการใชต้วับ่งช้ีภาวะผนู้ า เชิงนวตักรรมของผบู้ริหารสถานศึกษา ในการวจิยัแบบผสาน วิธี(Mixed Methods) โดยด าเนินการเป็ น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 การสร้างและพัฒนาตัวบ่งช้ีภาวะผูน้ าเชิง นวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ระยะที่2การตรวจสอบสมมติฐานการวิจยักบัขอ้ มลู เชิงประจกั ษ์เก็บขอ้ มูลจากกลุ่ม ตวัอยา่ ง ซ่ึงเป็นผบู้ริหารสถานศึกษา จา นวน 721 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติและโปรแกรมลิสเรล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บขอ้ มูลเป็น แบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มีค่าดชั นี ความสอดคล้อง ระหว่าง 0.55 – 1.00 ค่าความเชื่อมนั่ ท้ังฉบับ โดยวิธีสัมประสิทธ์ิแอลฟาของ Cronbach เท่ากับ 0.82 ระยะที่3การสร้างคู่มือการใช้ตวับ่งช้ีภาวะผนู้ า เชิงนวตักรรมของผูบ้ ริหารสถานศึกษา โดยให้ผเู้ชี่ยวชาญ จา นวน 5คน ประเมินคุณภาพโดยใชแ้บบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแบบของลิเคอร์ท (Likert scale) ผลการวจิยั พบวา่ 1. ภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรมของผู้บริ หารสถานศึกษามี 5 องค์ประกอบหลัก 20 องค์ประกอบย่อย 96 ตวับ่งช้ีจา แนกเป็น การมีวิสัยทศัน์เชิงนวตักรรม จา นวน 19 ตวับ่งช้ีการทา งานเป็นทีมและการมีส่วนร่วมเชิงนวตักรรม จ านวน 26 ตวับ่งช้ีการมีทักษะการคิดสร้างสรรค์นวตักรรม จา นวน 13 ตวับ่งช้ีการแสดงบทบาทหน้าที่เชิงนวตักรรม จ านวน 18 ตวับ่งช้ีและการมีบุคลิกภาพเชิงนวตักรรม จา นวน 20 ตวับ่งช้ี 2. โมเดลโครงสร้างภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรมของผูบ้ ริหารสถานศึกษา มีความสอดคลอ้งกบัขอ้ มูลเชิงประจกั ษ์ โดยมีค่าไค-สแควร์(Chi-Square : 2 ) เท่ากบั 37.41 ไม่มีนัยส าคญั ทางสถิติdf เท่ากบั 54 ค่าดชั นีวดัระดบัความกลมกลืน (GFI) เท่ากับ 0.99 ค่าดัชนีวดัระดบั ความกลมกลืนที่ปรับแก้แลว้ (AGFI) เท่ากับ 0.98และค่าความคลาดเคลื่อนในการ ประมาณค่าพารามิเตอร์(RMSEA) เท่ากบั 0.00 3. คู่มือการใช้ตัวบ่งช้ีภาวะผูน้ าเชิงนวตักรรมของผูบ้ ริหารสถานศึกษา มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก สามารถน าไปใช้สร้างเกณฑ์ประเมินภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาได้ ค าส าคัญ: ตวับ่งช้ี, การพฒั นาตวับ่งช้ี, ภาวะผู้น าเชิงนวัตกรรม, ผู้บริหารสถานศึกษา
การนำเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการใช้ทรัพยากรทางการศึกษาสำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่
ชื่อวิทยานิพนธ์ | การนำเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการใช้ทรัพยากรทางการศึกษาสำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ PROPOSED GUIDELINES FOR ENHANCING EDUCATIONAL QUALITY AND RESOURCE UTILIZATION OFSMALL PRIMARY SCHOOLS UNDER THE JURISDICTION OF THE OFFICE OF CHIANG MAI EDUCATIONAL SERVICE AREAS |
ชื่อนิสิต | หทัยรัตน์ เสียงดัง Hathairat Seangdung |
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา | ผศ.ดร. พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ Asst.Prof. Pruet Siribanpitak, Ph.D. |
ชื่อสถาบัน | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย Chulalongkorn University. Bangkok. (Thailand). Graduate School. |
ระดับปริญญาและรายละเอียดสาขาวิชา | วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. ครุศาสตร์ (พัฒนศึกษา) Master. Education (Development Education) |
ปีที่จบการศึกษา | 2546 |
บทคัดย่อ(ไทย) | การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาคุณภาพการศึกษาและการใช้ทรัพยากรทางการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ (2) ศึกษาการดำเนินการและอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษาและการใช้ทรัพยากรทางการศึกษาโรงเรียยประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ (3) เสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการใช้ทรัพยากรทางการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ โดยศึกษาจากโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 474 โรง ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ 5 เขต และใช้เทคนิควิธีวิจัยแบบเดลฟายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญจำนวน 20 ท่าน สถิติสำคัญที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความถี่ ร้อยละความแปรปรวน สหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการศึกษาที่วัดจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 ในโรงเรียนขนาดเล็ก สูงกว่านักเรียนโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนรายวิชาคณิตศาสตร์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลางไม่แตกต่างกัน แต่สูงกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ทั้งระดับชั้น ป.3 และ ป.6 สำหรับทรัพยากรที่ใช้ในการจัดการศึกษา ค่าใช้จ่ายรายหัวของโรงเรียนขนาดเล็กสูงกว่าโรงเรียนขนาดกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งสองวิชาของนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 ไม่มีความสัมพันธ์กับขนาดโรงเรียน อัตราส่วนนักเรียนต่อครู อัตราส่วนนักเรียนต่อห้อง อัตราส่วนครูต่อห้องอัตราส่วนนักเรียนต่อหนังสือและค่าใช้จ่ายรายหัว 2) การดำเนินการแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษาและการใช้ทรัพยากรทางการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กมี 2 รูปแบบ คือ การจัดศูนย์โรงเรียน และการจัดการตามกฎหมาย มีอุปสรรคสำคัญ 5 ประการ คือ (1) บุคลากรไม่ต้องการให้ยุบโรงเรียน(2) ชุมชนไม่ร่วมมือ (3) งบประมาณค่าใช้จ่ายพาหนะไม่เหมาะสม (4) งานธุรการไม่ลดลง(5) รวมโรงเรียนแล้วยังเป็นโรงเรียนขนาดเล็กเหมือนเดิม 3) แนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาสำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กที่ไม่สามารถยุบรวมหรือเลิกล้มได้ คือ (1) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบรวมชั้นเรียน(2) จัดตารางสอนยืดหยุ่น (3) ชุมชนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน (4) บริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ส่วนแนวทางพัฒนาการใช้ทรัพยากรทางการศึกษา คือ (1) การใช้นวัตกรรมการศึกษา (2) การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม (3) การใช้ทรัพยากรทางการศึกษาร่วมกันและ (4) การสนับสนุนช่วยเหลือของหน่วยงานอื่น ในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ |
บทคัดย่อ(English) | The purposes of this research were 1) to study of the existing situation,educational quality and educational resources utilization of small primary schools under the jurisdiction of the office of Chiangmai educational service areas, 2) to studythe implementation and obstacles of solving the educational quality and educational resources utilization problems of small primary schools under the jurisdiction of the office of Chiangmai educational service areas, 3) to proposed guidelines for enhancingeducational quality and educational resources utilization of small primary schools under the jurisdiction of the office of Chiangmai educational service areas. The samples consists of the 474 small primary schools and uses the Delphi technique to study 20 experts' opinion. The data were analyzed by using mean, frequency, percentage, variance, and correlation. The findings were as follows, 1) The educational quality in terms of learning achievement in Thai language ofstudents in Pratom suksa 3 and 6 in small primary schools were higher than those in medium and large schools sigfinicantly at the .05 level of significance. Learning achievement in mathmetics of students in Pratom suksa 3 and 6 of small and medium school were not different but higher than those in large schools. Concerning the educational resources utilization, costs per head of small schools was higher than those in medium schools sigfinicantly at the .05 level of significance. The learning achievement in Thai language and mathmetics of Pratom suksa 3 and 6 were not related with school size, student per teacher ratio, student per classroom ratio, book per student ratio and costs per student. 2) The implementation of the educational quality problem solving and resourcesutilization in small primary schools under the jurisdiction of the office of Chiangmaieducational service areas have two models. The first one was the centered school. The second was law enforcement. There were five obstacles; - (1) disagreement of teachers, (2) non-cooperation of people, (3) inappropriate of budget for transportation, (4) remaining of office work, (5) remaining of school size. 3) The guidelines for enhancing the educational quality of small primaryschools are; 1) to organize multi grade classroom, 2) to implement flexible classschedules, 3) to utilize community participation, and 4) to introduce the school - based management. The guidelines for educational resources development utilizing are 1) using education innovation, utilizing an appropriate technology, 3) shared educational resources, and 4) the support of other institutions at local and national levels. |
ภาษาที่ใช้เขียนวิทยานิพนธ์ | |
จำนวนหน้าของวิทยานิพนธ์ | 189 P. |
ISBN | 974-17-5430-2 |
สถานที่จัดเก็บวิทยานิพนธ์ | |
คำสำคัญ | SMALL SCHOOL, PRIMARY SCHOOL, EDUCATIONAL QUALITY, RESOURCE UTILIZATION |
วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง |
|
วิจัย สภาพและปัญหาการใช้เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อการเรียนการสอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3
สภาพและปัญหาการใช้เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อการเรียนการสอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3
วิจัย การพัฒนาแนวทางการบริหารงานเทคโนโลยีการศึกษาของสถานศึกษาขนาดเล็ก : กรณีศึกษาโรงเรียนวัดทำใหม่ โรงเรียนวัดศรีภวังค์และโรงเรียนวัดลาดระโหง
การพัฒนาแนวทางการบริหารงานเทคโนโลยีการศึกษาของสถานศึกษาขนาดเล็ก : กรณีศึกษาโรงเรียนวัดทำใหม่ โรงเรียนวัดศรีภวังค์และโรงเรียนวัดลาดระโหง
วิจัย การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอนของครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ช่วงชั้นที่ 1-2 สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษากาญจนบุรี
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอนของครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ช่วงชั้นที่ 1-2 สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษากาญจนบุรี
-
เอกสารอ้างอิง ภานุวัฒน์ สิงห์หาญ และ ดร.วัลลภา อารีรัตน์(2557). สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเพื่อ ...
-
เอกสารอ้างอิง สมชัย วงษ์นายะ และทวนทอง เชาวกีรติพงศ์(2559). การพัฒนาแผนกลยุทธ์และคุณภาพการศึกษา สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้...